เรื่องเล่าสุขภาพ

มะเร็งเต้านมอำเภอท่าอุเทนนครพนม
                           มะเร็งเต้านม อำเภอท่าอุเทน นครพนม
                                                                   จำรัส  เซ็นนิล  รวบรวม/เรียบเรียง
          เช้าวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๐ ผมได้เดินทางไปพิสูจน์ความจริงกรณีมีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม หลังกินยาสมุนไพร แล้วหายจากโรคดังกล่าว จากคำบอกเล่าของครูเชาว์  ช่วงชิง อดีตครูโรงเรียนบ้านปากทวย อ.ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม                                
         ผมถึงอำเภอท่าอุเทนเวลาสิบนาฬิกา ครูเชาว์พามานั่งร้านอาหารอีสานที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพัก สั่งลาบเนื้อกับข้าวเหนียวให้ผมรองท้อง ยังไม่ทันจะกินครูเชาว์ ยกแก้วยาสมุนไพรแก้วเล็กๆประมาณครึ่งแก้วให้ผม
  “ อาจารย์จำรัส ลองซดดู จะได้รู้รสชาติ รับรองมะเร็งไม่กวน” 
       ผมมองหน้าครูเชาว์ ทำท่าเหมือนลังเล ครูเชาว์บอกยกเลยครับ ทันทีได้รับเสียงสนับสนุน ผมยกขึ้นซดหมดแก้ว ทันทีที่น้ำยาตกถึงท้อง รู้สึกร้อนซ่าส์ไปทั้งลำไส้และทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะใบหู ๒ ข้างร้อนผ่าวไปหมด               
      หลังรองท้องแล้วครูเชาว์ ก็พาผมไปที่บ้านคุณใส  สุวรรณมาโจ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดพระธาตุท่าอุเทน คุณใส มีฐานะค่อนข้างลำบาก อาศัยบ้านที่กาชาด จังหวัดนครพนมสร้างให้ พักอยู่กับญาติพี่น้องสามสี่คน ทุกคนหาเช้ากินค่ำ อยู่ต่อมาคุณใสป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เต้านมจะบวมเบ่ง ปวดสุดแสนทรมาน เมื่อได้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ จึงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล คุณใสเล่าอีกว่า
     “หมอบอกให้ผ่าตัด แต่ฉันไม่กล้าผ่า กลัวตาย เลยขอกลับบ้านกินยา”
    ถึงแม้จะกินยาที่หมอให้มา แต่อาการของคุณใสก็ไม่ดีขึ้น เต้านมยิ่งบวม ปวด วันหนึ่งคุณนิภาพร มาตย์เมือง เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ มาเยี่ยมเห็นแล้วเกิดความสงสาร เผอิญได้ทราบข่าวจากครูเชาว์ว่ามีสมุนไพรที่เคยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับกินแล้วหาย จึงไปขอแบ่งปันมาให้คุณใสกินลองดู                       
           คุณใส กินได้หนึ่งสัปดาห์อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ปวดไม่บวม กินอีกหนึ่งเดือน เต้านมยุบลงเป็นปกติไม่ปวดอีกเลย ถือเป็นกรณีศึกษาหากท่านใดสงสัยหรืออยากแบ่งปันตัวยาไปช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ติดต่อที่ครูเชาว์  ช่วงชิง ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม  ๐๘๕-๐๐๙-๖๔๔๓
                                                  -------------------------------------------------------
   

blog comments powered by Disqus